ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความเครียดเป็นของปกติที่เกิดได้ มีได้ในทุกคน ทุกเพศทุกวัย ความเครียดในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้เกิดความมุ่งมุ่นตั้งใจ เป็นส่วนผลักดันให้มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ ซึ่งคำว่าเหมาะสมก็เป็นคำกว้างๆที่แต่ละคนจะนิยามปริมาณความเครียดของตนเอง แต่ในที่นี้เราจะพูดถึงความเครียดที่เฉพาะลงไปนั่นคือ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานที่มากเกินไปจนคนคนหนึ่งรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการได้ เราเรียกว่า ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ burn out นั่นเอง
burn out เป็นภาวะอ่อนล้าทางจิตใจและร่างกาย เป็นผลจากการทำงานที่มากเกินไปจนทำให้มีความเครียดอย่างต่อเนื่องยาวนาน จิตใจรู้สึกว่างานนั้นเกินกำลังที่จะทำได้ ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับงานลดลงมาก นานเข้าจะทำให้เสียแรงจูงใจในการทำงาน กระทั่งรู้สึกว่า ทำอะไรก็ไม่ได้ดี ทำงานไม่ประสบผลสำเร็จ ในส่วนร่างกายจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำลงอันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมาได้บ่อยขึ้น และความผิดปกติเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนไม่หลับร่วมด้วย
ภาวะหมดไฟในการทำงานมักเกิดจากความคาดหวังสูงในประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง ต้องการให้งานมีความสมบูรณ์แบบ ปริมาณงานมากเกินที่จะรับผิดชอบไหว องค์กรไม่มีความเป็นธรรม หรือมีอุปสรรคในการทำงานมากจนงานแต่ละชิ้นสำเร็จได้ยาก หรืออาจจะมีปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงาน
องค์การอนามัยโลก ได้ให้อาการหลัก 3 อาการสำหรับ burn out คือ
1.รู้สึกสูญเสียพลังงาน หรือมีภาวะอ่อนเพลีย
2.ความรู้สึกต่อต้าน มองงานของตนเองในทางลบ ขาดความรู้สึกตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ
3. รู้สึกเหินห่างจากผู้เกี่ยวข้องใน รวมถึงขาดความผูกพันกับสถานที่ทำงาน
เราสามารถแบ่งโรคเครียดจากการทำงานหรือ burn outได้ 3 ระดับ ดังนี่้
1.ความเครียดปกติ
2.ความเครียดในระดับภาวะซึมเศร้า มีลักษณะคือ จะเบื่อหน่ายทุกเรื่อง, มองโลกในแง่ร้าย, โทษตัวเองหรือผู้อื่น
3.ความเครียดในระดับภาวะหมดไฟอย่างรุนแรง มีลักษณะคือ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เหมาะกับงาน อยากลาออก ไม่อยากทำงาน หรือแม้กระทั่งอยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีงานไปเลย
อย่างไรก็ตาม ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ burn out นี้ยังไม่ใช่โรคทางการแพทย์จึงไม่มียาที่ใช้รักษาอย่างเฉพาะเจาะจง ทำได้เพียงรักษาตามอาการทางกายที่เกิดขึ้น และส่วนมากมักใช้การให้คำปรึกษาหรือจิตบำบัดเพื่อช่วยให้เกิดการปรับตัวได้ดีขึ้น
ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น เราสามารถป้องกันตนเองไม่ให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงานได้ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ จัดการและรับมือกับความเครียดในชีวิตประจำวันไม่ให้สะสมจนบั่นทอนสุขภาพกายและใจ ดังนี้
1.ปรับสมดุลการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานทันที
2.ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ชอบ
3.จัดลำดับความสำคัญของงานและเวลาในการทำงาน
4.ปรับมุมมองหรือทัศนคติให้เห็นถึงคุณค่าของงานที่ทำ
5.ออกไปทำกิจกรรมจิตอาสา
อ่านมาถึงตรงนี้ หากท่านใดเริ่มสงสัยว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานหรือเปล่า สามารถประเมินตนเองได้ที่นี่ค่ะ แบบประเมินภาวะหมดไฟในการทำงาน
บทความโดย…
ใหม่ ศิรินภา
นักจิตบำบัด

